คุณจิรภัทร์ กาญจะโนสถ กล่าวว่า Human Lab เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่า “ความเข้าใจมนุษย์ อย่างลึกซึ้ง” คือหัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์ และกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภคได้จริง โดยนำองค์ความรู้จาก หลายศาสตร์ เช่น สังคมวิทยา มานุษยวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ และ Data Science มาผสานเข้ากับกระบวน การวางแผนการตลาด ทำให้ Human Lab แตกต่างจากเครื่องมือการวิเคราะห์ผู้บริโภค แบบเดิม ที่มักยึดเพียงตัวเลข หรือเทรนด์ที่ผิวเผิน
“ในโลกที่ความซับซ้อนของมนุษย์ไม่อาจมองผ่านแค่สถิติหรืออัลกอริธึม Human Lab จึงทำหน้าที่เป็นเหมือนเลนส์ใหม่ ที่ช่วยให้แบรนด์เข้าใจคนได้ในระดับจิตวิญญาณ พฤติกรรม และบริบททางสังคม ดังนั้น Human Lab ไม่เพียงเปิดมุมมองใหม่ ในการวางแผนกลยุทธ์ให้กับนักการตลาด แต่ยังช่วยสร้างเครื่องมือความคิด ทางวัฒนธรรม และพฤติกรรมผู้บริโภคที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลง ของยุคสมัยอย่างชัดเจน” คุณจิรภัทร์ กล่าว
โดย Human Lab นำเสนอเลนส์ใหม่เพื่อทำความเข้าใจผู้บริโภคชาวไทยแบบเจาะลึกทั้งข้อมูลทางสถิติและความต้องการเบื้องลึกที่ซ่อนอยู่ในจิตใจ ที่ไม่ใช่แค่การรวบรวมตัวเลข แต่คือการผสาน ข้อมูลอัจฉริยะ (Data Intelligence) และปัญญามนุษย์ (Human Intelligence) นำมาวิเคราะห์เป็นข้อมูลเชิงลึกที่ไม่มีใครเทียบ เพื่อเผยมิติที่ซับซ้อนหลากหลายเฉดสีของพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยที่ได้รับผลจากเมกะเทรนด์ (Mega Trend) ต่างๆ ทั้งในโลกและในประเทศไทย ออกแบบมาสำหรับนักการตลาดที่กำลังมองหาแนวทางที่พร้อมสำหรับอนาคต เพื่อค้นพบแรงจูงใจที่ซ่อนอยู่ เช่น การค้นหาอารมณ์ ความเชื่อ และคุณค่าที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการบริโภค คาดการณ์แนวโน้มในอนาคต เช่น วิเคราะห์พฤติกรรมของ Sei-Katsu-Sha เพื่อให้แบรนด์สามารถ คาดการณ์รูปแบบที่เกิดขึ้นใหม่และตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปในเชิงรุก ปรับกลยุทธ์การตลาดให้ได้ตรงใจ เช่น ออกแบบแคมเปญที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภคในระดับที่ลึกซึ้งกว่าการตลาดแบบเดิม และวัดผลกระทบและเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น ใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อสร้างกลยุทธ์ที่ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพ แต่ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้แบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ Human Lab ยังได้เปิดเผยผลวิจัยล่าสุดที่ชื่อว่า “Daring Palette หรือเครื่องมือที่ช่วยให้นักการตลาดเข้าใจจิตใจของผู้บริโภคยุคใหม่ได้ลึกกว่าระดับ Demographic หรือ Lifestyle เปรียบเสมือนเลนส์ที่ มองเห็นแรงผลักดันจากข้างใน ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจที่แบรนด์ควรเข้าใจ
การเปิดตัว Human Lab จึงไม่ใช่เพียงโครงการวิจัยหรือนวัตกรรมการตลาด แต่คือการชวนให้นักการตลาด และแบรนด์กลับมาตั้งคำถามสำคัญว่า “เราเข้าใจมนุษย์จริง ๆ หรือไม่” โดยงานวิจัย Daring Palette ภายใต้การนำของ คุณนัฐกาญจน์ วัฒนมงคลศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัย ฮิวแมน แล็บ (Human Lab) และ หัวหน้าแผนก วางแผนกลยุทธ์แห่งสปา-ฮาคูโฮโด ได้ค้นพบว่า “ความกล้า” คือหนึ่งในแกนกลางสำคัญในการจำแนกพฤติกรรม ผู้บริโภคยุคใหม่ และได้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญของผู้บริโภคชาวไทยในปัจจุบัน ซึ่งถูกถ่ายทอดผ่าน “เฉดสี” ต่างๆ ที่สะท้อนลักษณะทางพฤติกรรมอย่างลึกซึ้ง
“เราแบ่งเฉดสีความกล้าของผู้คนทั้งสี่เจนฯ เป็น 4 เฉดสี Fluorescence (สีเรืองแสง) ที่สามารถสื่อถึง “ความกล้า” (Courage / Boldness) และกระตุ้นความรู้สึกให้ “โดดเด่น แตกต่าง และกล้าการแสดงออก” เช่น เฉดสีแรกคือสี “Experimenting Green” กลุ่ม Baby Boomer อายุ 60+ ปีขึ้นไป (เริ่มแซ่บหลัง 60) หรือที่เรียกว่า THE TIMELESS EXPERIMENTERS ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สูงวัยยุคใหม่ ที่ไม่ยอมจำกัดชีวิตไว้แค่ตัวเลขอายุ กล้าลอง กล้าเปลี่ยน และพร้อมเติมเต็มความฝันที่เคยหล่นหายไป
ในขณะที่เฉดสีที่สองคือสี “Fearless Yellow” กลุ่ม Gen X อายุ 43-59 ปี (แกร่งทะลุกรอบ) หรือที่เรียกว่า THE DARING LEAPERS ซึ่งเป็นกลุ่มเดอะแบกที่ตัดสินใจ “กระโจน” ออกจากกรอบชีวิตเดิมๆ เพื่อค้นหาอิสระ ความสุข และจุดหมายใหม่ที่เป็นของตัวเอง
เฉดสีที่สามคือสี “Now Red” กลุ่ม Gen Y อายุ 28-42 ปี (เดี๋ยวนี้นิยม) หรือที่เรียกว่า THE ARCHITECT OF NOW ซึ่งเป็นกลุ่ม ที่ออกแบบชีวิตด้วยตนเอง กล้าฉีกกรอบสังคมเพื่อใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวเอง “เดี๋ยวนี้” สำคัญที่สุด
และเฉดสีสุดท้ายคือ “Activist Purple” กลุ่ม Gen Z อายุ 18-27 ปี (โลกใบใหม่ในมือเรา) หรือที่เรียกว่า THE CHANGE MAKERS ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ไม่เดินตามใคร พร้อมท้าทายระบบ คิดต่าง เพื่อสร้างโลกใหม่ที่ยั่งยืน และเท่าเทียมมากขึ้น” คุณนัฐกาญจน์ กล่าว
ด้าน คุณพิมพิศา จุฬา เทิดทูลทวีเดช ผู้อำนวยการวางแผนโซลูชั่นทางธุรกิจ หน่วยงานแพลนท์ (Plant) ภายใต้ บริษัท สปา-ฮาคูโฮโด จำกัด กล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจจากงานวิจัยชิ้นนี้คือเราสามารถนำมาต่อยอดความคิดเพื่อเป็นพื้นฐานของการสร้าง Solution ทางธุรกิจให้กับลูกค้าได้อย่างไรบ้าง ที่นำความเข้าใจเชิงลึกในแต่ละเจนเนอเรชั่นมาก่อให้เกิดผลในการทำการตลาดได้ดียิ่งขึ้น สามารถตอบโจทย์วัตถุประสงค์ของแบรนด์ได้ด้วยโอกาสทางธุรกิจแบบใด
ซึ่งสิ่งที่เราจับเป็นประเด็นสำคัญในการทำการตลาดของแต่ละเจเนอเรชั่นเริ่มตั้งแต่ Gen B ที่เป็น Timeless Experimenters คือการทำการตลาดแบบ “Greypathy Marketing” ที่มองอายุที่เยอะขึ้นแบบสวนทาง มองเห็นและเข้าใจถึงจิตวิญญาณที่เปลี่ยนไปเป็นอิสระ
ในขณะที่ Gen X Daring Leapers ควรทำการตลาดแบบ “Sandwich Marketing” ที่มาเป็น Solution Provider ให้กับชีวิตที่ต้องแบกรับทั้งสองทางแต่อยากกลับมาโฟกัสตัวเองมากขึ้น Gen Y Architect of now ที่เป็นกลุ่มที่ให้ความสุขตัวเองเป็นที่ตั้ง ดังนั้นการทำการตลาดแบบ “Indulgence Marketing” จะเข้าไปตอบโจทย์สกุลเงินความสุขที่รู้สึกได้แบบทันทีของ Gen Y ได้ดี
และในกลุ่มสุดท้าย Gen Z ที่เป็น Change Makers “Tribal Marketing” การทำการตลาดแบบชนเผ่า ที่สร้าง Community และภาษาเดียวกันเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานของการเริ่มต้นความคิดเพื่อพัฒนาโซลูชั่นของธุรกิจให้ตอบโจทย์และตรงใจทั้งนักการตลาดและผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นด้วยกลยุทธ์เฉพาะเจาะจง ที่สอดคล้องกับเฉดความกล้าของแต่ละกลุ่มเจเนอเรชั่น
“ในวันที่ผู้บริโภคเปลี่ยนไปในหลากหลายมิติ ความเข้าใจที่เคยมีต่อกลุ่มคนเหล่านี้ มีความสำคัญมาก ในการที่จะทำให้นักการตลาดสามารถปรับตัวและแบรนด์ให้เท่าทัน ไม่ว่าจะเป็นจุดยืน ความเชื่อ และพันธกิจของแบรนด์ คงต้องถูกปรับเปลี่ยนตามโลกของผู้บริโภค เพื่อยังคงให้แบรนด์เป็นตัวเลือก และสามารถเติบโตไปกับแต่ละเจเนอเรชั่น และโลกที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืน” คุณจิรภัทร์ กาญจะโนสถ กล่าวปิดท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น